ลิเวอร์พูล เตรียมเปิดสนาม แอนฟิลด์ รับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือด โดยเกมแรกฝั่งยอดทีมจาก เมอร์ซี่ย์ไซด์ เป็นฝ่ายบุกกำราบ “ปีศาจแดง” ถึง 5-0 “แดงเดือด” ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สมรภูมิลูกหนังแห่งศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว แต่ถือเป็นเกมสำคัญที่มีผลต่อการทำอันดับของทั้งสองทีม
สำหรับ “หงส์แดง” เป้าหมายเดียวที่ต้องทำให้ได้คือคว้าชัยชนะ เพื่อทำแต้มแซงหน้า แมนฯ ซิตี้ ขึ้นจ่าฝูงของตาราง และตั้งโจทย์นัดที่เหลือต่อจากนี้คือห้ามทำแต้มหลุดมือ โดยมีแชมป์พรีเมียร์ลีก รอคอยอยู่ในวันปิดซีซั่น
ขณะที่ฝั่ง “ปีศาจแดง” ต้องการชัยชนะเพื่อต่อโอกาสในการติดพื้นที่ท็อปโฟร์ ซึ่งการได้อันดับ 4 ถือเป็นโควต้าสุดท้ายเพื่อได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า และตอนนี้สถานการณ์เป็นรอง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กับ อาร์เซน่อล
ฝั่ง ลิเวอร์พูล การคว้าชัยชนะไม่เพียงแต่ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังโยนความกดดันไปให้ “เรือใบสีฟ้า” ที่มีคิวเจอกับ ไบรท์ตัน ในคืนวันพุธ
หากทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ คว้าชัยชนะเหนือ “ผีแดง” ยังทำให้โอกาสที่พวกเขาจะได้สร้างประวัติศาสตร์ 4 แชมป์ยังมีต่อไป
ลิเวอร์พูล มีสถิติที่สุดแกร่งในการเปิดบ้านต้อนรับทีมสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์ ที่ผ่านมา 5 นัดหลังที่เล่นที่นี่ พวกเขาไม่แพ้ต่อทีมนี้เลย
ผลงานเมื่อซีซั่นที่แล้ว ทั้งสองทีมแบ่งแต้มแบบไร้สกอร์ ในวันที่ไม่มีแฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนาม แอนฟิลด์ เนื่องจากอยู่ในช่วงล็อกดาวน์จากสถานการณ์โควิด-19
และหากย้อนไปในฤดูกาล 2019/2020 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก “เร้ด แมชชีน” ทุบคู่อริตลอดกาล 2-0 นอกจากนี้ในซีซั่น 2018/2019 เจ้าบ้านก็จัดการสอยด้วยสกอร์ 3-1 ส่วนอีก 2 แมตช์เสมอกันแบบไร้สกอร์ใน 2 ฤดูกาลก่อนหน้านั้น
นอกจากนี้สถิติที่ยืนยันชัดเจนว่า แอนฟิลด์ เป็นสถานที่สุดอันตรายสำหรับทีมเยือนในยุคบอสเจเค ก็เพราะพวกเขาคว้าชัยในบ้านเกมลีกสูงสุด 10 แมตช์ติดต่อกันแถมยังไม่เคยแพ้ทีมไหนในบ้านซีซั่นนี้ด้วย (ชนะ 12, เสมอ 3)
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013/14 ลิเวอร์พูล ยังไม่เคยซิวชัยเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบไป-กลับได้เลย ส่วนการคว้าชัยเหนือ “ปีศาจแดง” 3 นัดติดต่อกันก็เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วตอนเดือนกันยายนปี 2008 ถึงเดือนตุลาคม ปี 2009
เจาะจงไปที่นักเตะรายบุคคล “เดอะ ค็อป” หลายคนตั้งคำถามกับฟอร์มการเล่นของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เป้าสะอาดยิงใครไม่ได้หลายนัดติดต่อกัน
ถึงแม้ ซาลาห์ นำเป็นดาวยิงสูงสุดของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ ด้วยการทำไป 28 ประตูจากการลงเล่นในทุกรายการ แบ่งเป็น 20 ลูกในลีกกับ 8 ประตูใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึงกระนั้น จากยอดจำนวนประตูที่ไม่กระเตื้องขึ้นเลยทำให้เขาเจอแรงกดดันจากเสียงวิจารณ์
ซึ่งสวนทางกับ ซาดิโอ มาเน่ ที่ตอนนี้ฟอร์มกำลังสดซัดไป 18 ประตูบวกกับสองแอสซิสต์จากการเล่น 41 แมตช์ในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม ซาลาห์ ยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ “เดอะ เร้ดส์” เสมอโดยเฉพาะในเกม “แดงเดือด” ที่เขามักจะทำผลงานได้ดี
“คิง ออฟ อียิปต์” ซัดไป 7 ประตูจากการลงเล่น 5 เกมหลังสุดที่ปะทะกับ “เร้ด เดวิลส์” ในการแข่งขันทุกรายการ และแมตช์นี้เชื่อว่า ซาลาห์ น่าจะมีโอกาสดีที่จะได้เรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง!