ก่อนเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เลกสองที่ ลิเวอร์พูล มีคิวรับมือ เบนฟิก้า ที่สนามแอนฟิลด์ พวกเขาขยับขึ้นไปรั้งเต็งหนึ่งของรายการแซง แมนฯ ซิตี้ ที่ต้องขับเคี่ยวกับ แอตฯ มาดริด เกมสอง
ความน่าจะเป็นไปในการผ่านเข้าสู่รองตัดเชือกของ “หงส์แดง” มีสูงมาก หลังจากเลกแรกบุกขย่มที่ถิ่น “เหยี่ยวลิสบอน” 3-1
ซึ่งผลบอลที่ออกมาในเกมคืนวันพุธก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของใครหลายคน สกอร์รวมสองนัดลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เหมาสกอร์ 6-4 เพียงแต่ผลการแข่งขันอาจขัดใจเล็กน้อยที่ไม่สามารถเอาชนะได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูรายชื่อผู้เล่นตัวจริงที่ลงสนามนั้น โผ 11 คนแรกมีการเปลี่ยนแปลงจากเกมแรกมากถึง 7 ตำแหน่ง นั่นก็เพราะรับมือการแข่งขันอันสุดเข้มข้นนับจากนี้ โดยเฉพาะเกมสุดสัปดาห์ที่จะถึงมีคิวดวลกับ แมนฯ ซิตี้ ในรอบรองฯ เอฟเอ คัพ
จากผลสกอร์ชนะ แอตเลติโก มาดริด แค่เม็ดเดียวในเกมแรกของรอบแปดทีมถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก มันจึงบังคับให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่แห่ง เอติฮัด สเตเดี้ยม ต้องปรับทัพเพียงแค่สองตำแหน่งเท่านั้นในเกมบุกมาเยือนแชมป์ ลา ลีกา
ส่วนรอบตัดเชือก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ ลิเวอร์พูล จะต้องเข้าไปปะทะด้วย นั่นก็คือ บียาร์เรอัล ทีมแกร่งจาก ลาลีกา สเปน ที่พลิกล็อกโค่น “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค แบบพลิกความคาดหมาย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หนุนให้ ลิเวอร์พูล เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าถ้วยใบนี้
ถึงกระนั้น จากสองเกมกับ “แชมเปี้ยนส์” บุนเดสลีกา พิสูจน์ให้เห็นว่า “เรือดำน้ำสีเหลือง” ดีพอที่จะทะลุเข้ารอบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า บียาร์เรอัล ทำผลงานในสนามเป็นรองแชมป์ บุนเดสลีกา โดยประตูที่ได้ก็มาจากเกมโต้กลับที่พวกเขาตั้งใจมาเล่นงาน
ในฐานะที่เป็นทีมรองบ่อน (Underdog) พลพรรคเยลโล่ว์ ซับมารีน จึงถูกมองว่าด้อยกว่า ลิเวอร์พูล หลายขุม และเป็นเรื่องยากที่ อูไน เอเมรี่ จะสานผลงานสุดสะพรึงได้อีกหลังจากเขาพาทีมล้มยักษ์อย่าง ยูเวนตุส และ บาเยิร์น มาให้เห็น
แน่นอนว่า เกมรับของพวกเขาคือจุดเด่นที่เล่นงานสองยักษ์ใหญ่ อิตาลี และ เยอรมนี ลิเวอร์พูล จึงห้ามประมาทกับแท็กติกนี้ ซึ่งเป็นวิธีการเล่นที่ยากจะเจาะทำประตู
การเผชิญหน้ากันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ บียาร์เรอัล ทั้งสองทีมเคยต่อกรกันแค่หนเดียวเท่านั้นในถ้วย ยูโรปาลีก รอบตัดเชือก ปี 2016
แม้เกมแรก หงส์แดง จะบุกไปพ่าย 1-0 แต่พวกเขากลับมาขย้ำ เรือดำน้ำสีเหลือง ได้แบบขาดลอย 3-0 หลุดเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แต่ก็ปราชัยให้กับ เซบีย่า ทีมจากลีกกระทิงดุอีกรายด้วยสกอร์ 3-1
ทว่า เอเมรี่ เคยปราบ ลิเวอร์พูล มาแล้วสมัยตอนคุม เซบีย่า ในนัดชิงยูโรปา ลีก ปี 2016 นี่คือเรื่องที่จะประมาททีมจาก สเปน ที่มี เอเมรี่ คุมทัพไม่ได้เลย
ขณะเดียวกัน การที่ คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล เข้าถึงรอบนี้ทำให้เขาบันทึกสถิติตัวเองด้วยการเป็นกุนซือเยอรมันที่พาสโมสรผ่านเข้ารอบตัดเชือกมากที่สุด จำนวน 4 หน เท่ากับ อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ และ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส
และที่ผ่านมา 3 ครั้ง คล็อปป์ ก็สามารถพาทีมทะลุเข้าถึงรองชิงชนะเลิศได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาล 2012-13, 2017-18 และแน่นอน ซีซั่น 2018-19 ที่เขาได้แชมป์กับ ลิเวอร์พูล ต้องจับตาดูว่าเขาจะรักษาสถิติ 100 เปอร์เซ็นต์เอาไว้ได้หรือไม่
“เดอะ ค็อป” ทุกคนอดใจรอกันอีกนิด หนทางสู่ ปารีส อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว..